Category Archives: อำเภอพระประแดง

อำเภอพระประแดง

อำเภอพระประแดง เป็นอำเภอที่มีขนาดพื้นที่เล็กที่สุดในจังหวัดสมุทรปราการ ในอดีตมีฐานะเป็นศูนย์กลางของจังหวัดพระประแดง แต่ต่อมาถูกยุบรวมเข้ากับจังหวัดสมุทรปราการดังเช่นปัจจุบัน

LINE: @MKMETALSHEET ; 087-808-7771

ประวัติศาสตร์[แก้]

พระประแดงเดิมตรงคลองเตย[แก้]

1
2
แผนที่โดยเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ พ.ศ. 2223

1
ตำแหน่งพระประแดง (เดิม) บริเวณท่าเรือคลองเตย
2
ตำแหน่งนิวอัมสเตอร์ดัม ปากคลองบางปลากด

สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ วินิจฉัยว่า พระประแดงเป็นเมืองโบราณสมัยขอมมีชื่อเรียกว่า “พระประแดง” แต่ประเด็นนี้ก็พิสูจน์ได้ยาก[4]

ตำแหน่งที่ตั้งเมืองพระประแดงเดิม ปัจจุบันตั้งอยู่ในบริเวณท่าเรือคลองเตย กรุงเทพมหานคร[3] เหตุผลที่สนับสนุนที่ตั้งเดิมนี้ คือ มีปรากฏในจดหมายเหตุเอ็งเงิลแบร์ท เค็มพ์เฟอร์ ได้ลงตำแหน่งเมืองพระประแดง (Prapedain) อยู่บริเวณคุ้งแม่น้ำตรงบริเวณคลองเตยในปัจจุบัน[5] และในโคลงนิราศชุมพรแต่งโดยพระพิพิธสาลี ซึ่งเชื่อว่าท่านมีอายุอยู่ในช่วงรัชกาลที่ 1 เมื่อท่านได้ล่องเรือผ่านช่องนนทรี จากนั้นถึงบางเตยซึ่งก็คือตำแหน่งคลองเตยในปัจจุบัน แล้วจึงกล่าวถึงศาลพระแผดง (ศาลพระประแดง) แล้วจึงเป็นพระโขนง[6]

โคลงนิราศพระยาตรังผลงานพระยาตรังได้แต่งขึ้นในต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ในโคลงบทที่ 29 ถึงช่องนนทรี แล้วกล่าวถึงศาลพระแผดงและในโคลงบทที่ 31 กล่าวถึงบางขนง (พระโขนง) และในนิราศเมืองแกลงของสุนทรภู่ แต่งขึ้นในรัชกาลที่ 1 เมื่อท่านผ่านบริเวณบ้านบางระจ้าวหรือบางกะเจ้าในปัจจุบัน แล้วเอ่ยถึงศาลพระประแดง[7]

เอกสารที่เกี่ยวข้องกับเมืองพระประแดงปรากฏครั้งแรกในพระราชพงศาวดารฉบับพระจักรพรรดิพงษ์ (จาด) พ.ศ. 2040 แผ่นดินสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ว่า

… ขณะนั้นคลองสำโรงที่จะไปคลองศีรษะจระเข้ คลองทับนางจะไปปากน้ำ เจ้าพญาตื้น เรือใหญ่จะเดินไปมาขัดสน จึงให้ชำระขุดได้รูปเทพารักษ์ 2 องค์หล่อด้วยสัมฤทธิ จารึกองค์หนึ่งชื่อพญาแสนตา องค์หนึ่งชื่อบาทสังฆกรในที่ร่วมคลองสำรงกับคลองทับนางต่อกัน จึงให้พลีกรรมแล้วออกมาปลูกศาลเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ เมืองพระประแดง …

[8]

ปากพระประแดง[แก้]

เมืองพระประแดงในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าบรมโกศได้เลื่อนมาลงอยู่ที่บริเวณอำเภอเมืองสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรปราการ ส่วนจะเลื่อนลงมาเมื่อใดไม่ทราบ และเมื่อเมืองพระประแดงมาอยู่ตำแหน่งใกล้กับแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้ในเอกสารเรียกแม่น้ำ เจ้าพระยาช่วงนี้ว่า ปากพระประแดง

จากจดหมายเหตุพระอุบาลีไปลังกาทวีปครั้งแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ พ.ศ. 2295 กล่าวว่า

… ลงไปถึงตึกวิลันดา ณ บางปลากด ณ วันอังคาร เดือนยี่ ขึ้น 6 ค่ำ เพลาเช้า 3 โมง แลมรติงนายกำปั่น ให้ทอดบรรทุกฝาง 6 วัน ณ วันอังคาร เดือนยี่ขึ้น 12 ค่ำ ถึงเมืองพระประแดง…

[12] จากข้อความดังกล่าว ระบุว่าเมืองพระประแดงอยู่ใต้คลองบางปลากด สอดคล้องกับพระราชสาส์นไปเมืองจีนครั้งกรุงธนบุรีที่ชี้ว่า เมืองพระประแดงเป็นเมืองสุดท้ายก่อนออกทะเลและใกล้กับแหลมฟ้าผ่า พระราชพงศาวดารธนบุรีฉบับจันทนุมาศ (เจิม) ซึ่งชำระในต้นรัชกาลที่ 1 กล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2311 ว่า

… วันจันทร์ แรมสิบสี่ค่ำ เดือนสาม มีข้อราชการเมืองกัมพูชาธิบดีเมืองปากน้ำ พุทไธมาศบอกเข้ามา จึงทรงพระกรุณาให้พระกรมท่าไปทำค่ายปากน้ำ พระประแดง ท่าจีน แม่กลอง…

เมืองนครเขื่อนขันธ์[แก้]

จิตรกรรมฝาผนังวัดป่าเกด เป็นภาพวิถีชีวิตชาวมอญ วัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 2
ป้อมแผลงไฟฟ้า สร้างในสมัยพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อ พ.ศ. 2357

เนื่องจากได้ย้ายเมืองหลวงมาที่กรุงเทพ ซึ่งลงใกล้ปากน้ำมากขึ้น ขณะเดียวกันเมืองรายทางจากปากน้ำมาถึงกรุงเทพมีเพียงเมืองเดียวคือ สมุทรปราการ ซึ่งได้สร้างความกังวลเรื่องรับศึกทางทะเล ดังนั้นสมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทจึงได้กราบบังคมทูลขอสร้างเมืองขึ้นที่ปากลัด เนื่องจากมีที่ตั้งเป็นจุดยุทธศาสตร์ใหญ่เหมาะแก่การตั้งป้อมปืนใหญ่และสามารถควบคุมเส้นทางบริเวณปากคลองลัดโพธิ์ได้ แต่ยังไม่สำเร็จเนื่องจากเกิดศึกกับพม่าก่อน

จนในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ลงไปทำเมืองที่บริเวณปากลัด ตัดเอาแขวงกรุงเทพมหานครและแขวงเมืองสมุทรปราการ พระราชทานชื่อเมืองว่า นครเขื่อนขันธ์[16] ตำแหน่งของเมืองนครเขื่อนขันธ์ตั้งอยู่ระหว่างคลองลัดโพธิ์กับคลองลัดหลวง[17] จน พ.ศ. 2358 จึงให้มีการพระราชพิธีฝังอาถรรพณ์ยกเสาประตูตั้งป้อมที่ปากลัด[18]

เมื่อแรกสถาปนานครเขื่อนขันธ์โปรดเกล้าฯ ให้มอญพวกเจ้าพระยามหาโยธา (เจ่ง คชเสนี) มาเป็นพลประจำเมือง ในปีรุ่งขึ้นมอญจากเมาะตะมะอพยพเข้ามา 3 ทาง คือ กาญจนบุรี อุทัยธานี และตาก เข้ามาสมทบที่นครเขื่อนขันธ์[19] เมื่อแรกสถาปนาเมือง ยังไม่ปรากฏในพระไอยการนาทหารพลเรือนในกฎหมายตราสามดวงว่าเมืองแห่งนี้น่าจำสังกัดกับกรมใด แต่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาเสนานุรักษ์ ทรงมากำกับการก่อสร้าง เมื่อพระองค์ทิวงคต สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพเมื่อสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จกรมพระราชวังบวรในรัชกาลที่ 3 และพระองค์ก็น่าจะได้กำกับเมืองนครเขื่อนขันธ์ถึงเสด็จทิวงคต จากนั้นสันนิษฐานว่าหม่อมไกรสรได้กำกับเมืองนครเขื่อนขันธ์ต่อเพราะเมื่อ พ.ศ. 2385 โปรดเกล้าฯ ให้หม่อมไกรสรไปกำกับเลกทำอิฐสร้างเมือง[20] อีกทั้งยังมีหลักฐานว่าหม่อมไกรสรเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการตั้งเจ้าเมืองนครเขื่อนขันธ์[21] รวมถึงเรื่องที่ท่านถูกกล่าวโทษว่าทำตัวเทียมพระเจ้าอยู่หัวก็เกิดขึ้นที่นครเขื่อนขันธ์[22]

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เซอร์จอห์น เบาว์ริง ได้เข้ามาสนธิสัญญา กล่าวไว้ใน ราชอาณาจักรและราษฎรสยาม เมื่อท่านผ่านบริเวณนครเขื่อนขันธ์ ซึ่งท่านเรียกว่า ปากลัด และได้กล่าวถึงป้อมที่ปากลัดว่ามีป้อมอยู่ 2 ฟากแม่น้ำ ที่ฝั่งซ้ายของแม่น้ำ มีโซ่ขวางแม่น้ำ เป็นโซ่เหล็กและเสาไม้ขนาดใหญ่มิให้เรือรบแล่นทวนขึ้นกรุงเทพได้ ป้อมมีทหารจำนวนไม่มาก นอกจากนั้นยังระบุว่า เมืองปากลัดเป็นเมืองที่ส่งฟืนเข้ามากรุงเทพและยังระบุว่าประชากรในเมืองนี้เป็นมอญ[23] ในสมัยรัชกาลที่ 4 เมืองนครเขื่อนขันธ์ขึ้นกับกรมกลาโหม[24] โดยเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง) สมุหกลาโหมมีหน้าที่ดูแลเมืองนครเขื่อนขันธ์ ขณะที่บิดา สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บุนนาค) กำกับเมืองสมุทรปราการ

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 ไปขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย จากนั้นวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2437 กระทรวงนครบาลกำกับ

ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการเปลี่ยนชื่อเมืองนครเขื่อนขันธ์เป็นเมืองพระประแดง[3]

บางยอ หลังคาพียู ลายไม้ 

บางพึ่ง หลังคาพียู ลายไม้

บางน้ำผึ้ง หลังคาพียู ลายไม้ 

บางจาก หลังคาพียู ลายไม้

บางครุ หลังคาพียู ลายไม้

บางกะเจ้า หลังคาพียู ลายไม้ 

บางกอบัว หลังคาพียู ลายไม้ 

บางกระสอบ หลังคาพียู ลายไม้ 

ทรงคนอง หลังคาพียู ลายไม้

ตำบลตลาด หลังคาพียู ลายไม้ 

Call Now Button